อาการ ปวดท้องประจำเดือน เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนคุ้นเคย และมักถูกมองข้ามว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคน อาการปวดนี้อาจไม่ใช่แค่ความไม่สบายตัวชั่วคราว แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ วันนี้เราจะเจาะลึกถึงสาเหตุของอาการปวดประจำเดือน ระดับความรุนแรงที่ควรใส่ใจ และเมื่อไหร่ที่คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
ปวดท้องประจำเดือนคืออะไร?
อาการปวดท้องประจำเดือน หรือที่เรียกว่า ปวดประจำเดือน คืออาการปวดบริเวณช่องท้องน้อยที่เกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวของมดลูก เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมาในรูปของประจำเดือน การหดตัวนี้ถูกกระตุ้นโดยสารที่เรียกว่า โพรสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสารที่ผลิตในเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อโพรสตาแกลนดินมีปริมาณมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดการหดตัวของมดลูกที่รุนแรงขึ้น และนำไปสู่อาการปวดท้องที่มากขึ้น อาการปวดประจำเดือนแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ
ปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea)
เป็นอาการปวดประจำเดือนที่พบบ่อยที่สุด และไม่มีสาเหตุจากโรคทางนรีเวชใดๆ เกิดจากการหดตัวของมดลูกที่ผลิตโพรสตาแกลนดินออกมามากเกินไป อาการมักจะเริ่มในช่วงวัยรุ่นหลังจากมีประจำเดือนครั้งแรกไม่นาน และอาการจะดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น หรือหลังจากมีบุตร
ปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea)
เป็นอาการปวดประจำเดือนที่มีสาเหตุมาจากโรคหรือความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูก หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกราน อาการปวดมักจะเริ่มเมื่ออายุมากขึ้น และมักจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ
ปวดแบบไหนที่เรียกว่าปกติ และแบบไหนที่ควรกังวล
อาการปวดประจำเดือนปกติ
อาการปวดไม่รุนแรงมาก สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน
- อาการปวดมักจะกินเวลาไม่นาน โดยทั่วไปจะปวดมากที่สุดในช่วง 1-2 วันแรกของการมีประจำเดือน แล้วค่อยๆ ลดลง
- ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีไข้ ตกขาวผิดปกติ หรือเลือดออกผิดปกติ
อาการปวดประจำเดือนแบบไม่ปกติ
แต่ถ้าคุณมีอาการปวดประจำเดือนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ คุณควรเริ่มกังวลและปรึกษาแพทย์
- ปวดรุนแรงจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน หากอาการปวดทำให้คุณต้องหยุดเรียน หยุดทำงาน หรือไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าไม่ใช่แค่การปวดธรรมดา
- อาการปวดแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเคยปวดไม่มาก่อน แต่ตอนนี้กลับปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆรอบเดือน หรือปวดมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- อาการปวดไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดทั่วไป หากคุณต้องเพิ่มขนาดยาแก้ปวด หรือยาแก้ปวดที่เคยได้ผลกลับไม่ได้ผลอีกต่อไป
- ปวดไม่หายแม้ประจำเดือนหมดแล้ว ปกติอาการปวดจะหายไปพร้อมกับการหมดประจำเดือน หากยังคงปวดต่อเนื่องหลังจากประจำเดือนหมดไปแล้ว ควรปรึกษาแพทย์
มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
- เลือดออกผิดปกติ เช่น มีประจำเดือนมามากผิดปกติ มานานกว่าปกติ มีเลือดออกกะปริบกะปรอยนอกรอบเดือน หรือมีก้อนเลือดขนาดใหญ่ผิดปกติ
- ปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอาการปวดนั้นสัมพันธ์กับรอบเดือน
- ปวดขณะปัสสาวะหรืออุจจาระ โดยเฉพาะในช่วงที่มี ประจำเดือน
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูกอย่างรุนแรง ร่วมกับอาการปวด
- ตกขาวผิดปกติ มีสี กลิ่น หรือปริมาณที่เปลี่ยนไป
- มีไข้ หนาวสั่น ร่วมกับอาการปวดท้องน้อย
- มีบุตรยาก อาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรงอาจเป็นสัญญาณของภาวะบางอย่างที่ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์
- อาการปวดประจำเดือนเริ่มขึ้นในวัยที่สูงขึ้น หากคุณไม่เคยปวดประจำเดือนมาก่อน หรือปวดเพียงเล็กน้อย แต่เพิ่งเริ่มมีอาการปวดรุนแรงเมื่ออายุเข้าสู่ 30-40 ปี นี่อาจเป็นสัญญาณของปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ
สาเหตุของปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิที่ควรระวัง
เมื่ออาการปวดประจำเดือนเริ่มเป็นสัญญาณที่น่ากังวล แพทย์จะพิจารณาถึงสาเหตุของปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ รวมถึง
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตอยู่นอกโพรงมดลูก เช่น ที่รังไข่ ท่อนำไข่ หรือลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบและอาการปวดอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือน
เนื้องอกมดลูก
เป็นเนื้องอกที่มดลูกที่ไม่ใช่มะเร็ง อาจทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนที่รุนแรง เลือดออกมากผิดปกติ และอาการอื่นๆ ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของเนื้องอก
เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญในกล้ามเนื้อมดลูก
เป็นภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูก ทำให้มดลูกบวมและปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง
การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
การติดเชื้อแบคทีเรียในอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง มีไข้ และตกขาวผิดปกติ
ถุงน้ำรังไข่
โดยปกติแล้วถุงน้ำรังไข่มักไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถุงน้ำขนาดใหญ่หรือถุงน้ำที่แตก อาจทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลันและรุนแรง
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง
ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึงความผิดปกติทางโครงสร้างของระบบสืบพันธุ์หรือระบบทางเดินปัสสาวะ
การตรวจวินิจฉัยและการรักษา
เมื่อคุณตัดสินใจปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการปวดประจำเดือนที่น่ากังวล แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียด รวมถึงลักษณะอาการปวด รอบเดือน การใช้ยา และประวัติทางการแพทย์อื่นๆ จากนั้นจะมีการตรวจร่างกาย โดยเฉพาะการตรวจภายใน ซึ่งอาจรวมถึงอื่นๆ เช่น
- การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อดูความผิดปกติของมดลูก รังไข่ และอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
- การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาสัญญาณของการติดเชื้อหรือภาวะอื่นๆ
- การตรวจส่องกล้อง ในบางกรณีที่สงสัยภาวะรุนแรง เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อวินิจฉัยและรักษาไปพร้อมกัน
การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการปวด
สำหรับปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ
การรักษาอาจรวมถึงการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน การใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน และการดูแลตัวเอง เช่น การประคบร้อน การออกกำลังกายเบาๆ และการจัดการความเครียด
สำหรับปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ
การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขสาเหตุที่แท้จริง เช่น การผ่าตัดเนื้องอกมดลูก การรักษาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ด้วยยาหรือการผ่าตัด หรือการรักษาการติดเชื้อด้วยยาปฏิชีวนะ
สรุป
อาการปวด ประจำเดือน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผู้หญิงหลายคน แต่สิ่งสำคัญคือการสังเกตและทำความเข้าใจร่างกายของตนเอง หากอาการปวดประจำเดือนของคุณเริ่มมีลักษณะที่ผิดปกติ ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด หรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วและถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ยังสามารถป้องกันหรือรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ได้อีกด้วย การใส่ใจและให้ความสำคัญกับสัญญาณที่ร่างกายส่งออกมา จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว
ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เริ่มต้นที่ Globallotto วันนี้ เราพร้อมเป็นสะพานเชื่อมคุณสู่ความมั่งคั่งด้วยหวยออนไลน์ที่เชื่อถือได้และให้ผลตอบแทนสูง สมัครเลย แล้วมาสร้างตำนานบทใหม่ด้วยกัน